มาดูเครื่องดนตรีที่เป็นตะกูลขลุ่ย
(1.) รีคอร์เดอร์ (Recorder)
เป็นเครื่องดนตรีที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่สุดประเภทหนึ่งในดนตรียุคบาโร้ค
ในช่วงกลางและปลายยุคบาโร้ค ก่อนที่จะถูกแทนที่โดย ฟลุ๊ต (Flute)
อย่างสิ้นเชิงในต้นยุคคลาสิค รีคอร์เดอร์เป็นนิยมใช้ทั้งในการบรรเลงเดี่ยว
และกลุ่มวงดนตรี โดยเฉพาะดนตรีประเภท Trio Sonata
รีคอร์เดอร์ ในยุคบาโร้ค มี 3 ชนิด คือ Soprano , Alto และ Tenor
แต่ที่เป็นที่นิยมที่สุดคือ Soprano Recorder

(2.) ฟลุ๊ต (Flute)
หรือที่เรียกกันว่า Transverse Flute เพราะต้องการแยกต่างหากจาก
Recorder ซึ่งในสมัยก่อนมักนิยมเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Flute a
bec
ถึงแม้ว่าฟลุ๊ต จะมีมาตั้งแต่สมัยยุค Renaissance แต่กลับมาเป็นที่นิยมจริงจังเอาในช่วงปลายยุคบาโร้ค
หรือล่วงเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 18 แล้ว ทั้งนี้เนื่องจากน้ำเสียงของฟลุ๊ตที่อ่อนหวาน
นุ่มนวล กว่ารีคอร์เดอร์ มีคีตกวีในยุคปลายบาโร้คหลายท่านที่เป็นนักเล่นฟลุ๊ตโดยตรง
เช่น Jean-Baptiste Loelliet คีตกวีชาวฝรั่งเศส หรือ Johann Joachim
Quantz ชาวเยอรมัน ซึ่งเป็น อาจารย์ถวายการสอนฟลุ๊ตของ สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริคที่
2 มหาราชแห่งปรัสเซีย ซึ่งก็ทรงเป็นคีตกวี และทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงสำหรับฟลุ๊ตไว้จำนวนหนึ่งด้วยเช่นกัน

(3.) โอโบ (Oboe)
หรือ ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Hautbois แปลว่า High Wood มาจากภาษาอังกฤษโบราณ
คือ คำว่า Hautboy เป็นเครื่องดนตรี ประเภท เครื่องลมลิ้นคู่ (Double
Reed) ที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคบาโร้ค ในประเทศฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1650
นักดนตรี ชื่อ Jean Hotteterre และ Michel Danican Philidor ได้ดัดแปลง
ปี่โบราณ ในสมัยยุค Renaissance ที่เรียกว่า ปี่ชอว์ม (Shawm) ให้มีน้ำเสียงที่ดีขึ้น
และมีพัฒนาการมาตลอดจนได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้
ในยุคบาโร้ค โอโบ ไม่นิยมเล่นเดี่ยว แต่มักจะใช้เป็นเครื่องดนตรีที่มีบทบาทหลักในวงดนตรี
โดยในช่วงบาโร้คยุคกลาง มักจะใช้ โอโบ 2 ตัว และ บาสซูน 1 ตัว เล่นประกอบกันเสมอ
เรียกว่า Trio Part พอมาในช่วงปลายยุคบาโร้ค ที่มีการประพันธ์บทเพลงประเภท
Concerto คีตกวีก็นิยมประพันธ์เพลง Oboe Concerto ด้วย ที่สำคัญอาทิเช่น
Antonio Vivaldi, Tomaso Albinoni, Allessandro Marcello, J.S.Bach
และ G.F.Handel เป็นต้น

โอโบ ดาโมเร่ ( Oboe d'Amore )
เป็นเครื่องดนตรีที่ถือกำเนิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่มีวิวัฒนาการมาจาก
โอโบ โดยตรง โดยจะมีน้ำเสียงที่เบา และทุ้มต่ำกว่าโอโบ เสียงปกติ
จะอยู่ในบันไดเสียง A minor
ลักษณะจะแตกต่างจากโอโบ ปรกติ ตรงที่ ขนาดตัวเครื่องจะใหญ่กว่า และให้สังเกตที่ปลายปากเครื่อง
โอโบ ดาโมเร่ จะมีปลายปากที่กลม (Bell Shape) ซึ่งต่างจาก โอโบ ปรกติที่ปลายปากจะบานออก
ทำให้ โอโบ ดาโมเร่ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับเครื่องดนตรีที่เรียกว่า
Cor Anglais
โอโบ ดาโมเร่ เป็นที่นิยมของคีตกวีในการประพันธ์ดนตรีในช่วงปลายยุคบาโร้ค
อาทิเช่น J.S.Bach และ Georg Philip Telemann

โอโบ ดา คักชา ( Oboe da Caccia )
เป็นภาษาอิตาเลี่ยน แปลว่า โอโบสำหรับการล่าสัตว์ สันนิษฐานว่าเป็นเครื่องดนตรีท้องถิ่นโบราณก่อนยุคบาโร้ค
และหายสาบสูญไปนาน แต่ต่อมา J.S.Bach ได้ฟื้นฟูและได้ร่วมกับ ช่างทำเครื่องดนตรีชาวเยอรมัน
ที่ชื่อว่า J.H. Eichentopf ชาวเมืองไลป์ซิก ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ ใน
ค.ศ.1723 และ Bach ได้กำหนดให้ใช้ Oboe da Caccia นี้ในบทเพลงหลายชิ้นของเขา
อาทิเช่น ใน Christmas Oratorio (1734) และ Cantata, BWV 13, "Mein
Seufzer, meine Tr?nen" (1736)
Oboe da Caccia มีน้ำเสียงที่ต่ำกว่า Oboe ปรกติอยู่มาก และโดยความเป็นจริงแล้ว
แม้จะเรียกว่า โอโบ และจัดอยู่ในตระกูลโอโบก็ตาม แต่ก็มีความใกล้เคียง
และเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของเครื่องดนตรีที่เรียกว่า English Horn หรือ
Cor Anglais มากกว่า แต่อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้ ในวงดนตรี หากจะต้องมีบทเพลงที่ต้องเล่นโดยใช้
Oboe da Caccia จะใช้ Bassoon แทน ซึ่งจะมีเสียงที่ใกล้เคียงกว่า

(4.) พิ๊กโคโล่ (Piccolo)
เป็นภาษาอิตาเลียน แปลว่า เล็ก จิ๋ว (tiny) ความจริงแล้ว พิ๊กโคโล่
ก็จัดว่าเป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเดียวกับฟลุ๊ต ดังนั้น บางครั้งในภาษาอิตาเลียน
ก็มักจะเรียกชื่อเต็ม ๆ ว่า Flauto Piccolo หรือ ฟลุ๊ตที่มีขนาดเล็ก
เช่นเดียวกับกรณีเครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น ไวโอลินที่มีขนาดเล็กกว่าและให้เสียงสูงกว่าไวโอลินปกติ
ก็จะเรียกว่า Violino Piccolo เป็นต้น

(5.) ชาลูโม (Chalumeau)
เป็นคำแสลง ภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ประกายไฟ ไฟที่กำลังปะทุ (Firecracker)
แต่ เมื่อมาเป็นชื่อเครื่องดนตรี ดังนั้น เวลาทำให้เป็นพหูพจน์ ต้องเปลี่ยนรูป
เป็น ชาลูโมซ์ (Chalumeaux)
ชาลูโม เป็นเครื่องดนตรีประเภทปี่ลิ้นเดี่ยว (Single Reed) ถือกำเนิดขึ้นในยุคกลาง
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 และได้รับความนิยมมาจนถึงช่วงกลางยุคบาโร้ค
เป็นบรรพบุรุษโดยตรงของ คลาริเน็ต (Clarinet) จนกระทั่งในยุคคลาสสิค
คลาริเน็ต จึงมีบทบาทเข้ามาแทนที่ชาลูโม และรีคอร์เดอร์ ไปจนหมดสิ้น

(6.) คลาริเน็ต (Clarinet)
มาจากภาษาอิตาเลียน คำว่า คลาริน่า (Clarina) แปลว่า แตร (trumpet)
และใส่คำวิเศษณ์ในภาษาอิตาเลียนตามหลัง คำว่า -et ซึ่งหมายความว่า
เล็ก ๆ (little) ดังนั้น คำว่า คลาริเน็ต ตามรูปศัพท์ในภาษาอิตาเลียน
จึงแปลว่า แตรอันเล็ก ๆ
คลาริเน็ต เป็นเครื่องดนตรีประเภท ปี่ลิ้นเดี่ยว ซึ่งมีพัฒนาการมาจากเครื่องดนตรีที่เรียกว่า
ชาลูโม (Chalumeau) ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว คลาริเน็ตในยุคบาโร้ค จะมีลักษณะที่ค่อนข้างคล้ายกับโอโบมาก

(7.) บาสซูน (Bassoon)
เป็นเครื่องดนตรีที่ค่อนข้างแปลกและลึกลับ เพราะไม่มีใครทราบแน่นอนว่า
ถือกำเนิดขึ้นเมื่อไหร่ และที่ไหน แต่สันนิษฐานว่า น่าจะมาจากประเทศอิตาลี
ในช่วงปี ค.ศ.1550 โดยแปลงมาจากเครื่องลม ที่ให้เสียงเบส ที่เรียกว่า
ดัลเชียน (Dulcian) ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่นิยมในยุค Renaissance
เพราะเครื่องดนตรีที่เรียกว่า Dulcian นี้ ในภาษาอิตาเลียน เรียกว่า
ฟาก็อตโต้ (Fagotto) ละ คำว่า บาสซูน นี้ ภาษาอิตาเลียน ก็ใช้คำว่า
Fagotto เช่นเดียวกัน
ส่วนคำว่า บาสซูน (Bassoon) เป็นภาษาอังกฤษ น่าจะมาจาก ลักษณะของตัวเครื่องดนตรีเองที่ให้เสียงเบส
จากหลักฐาน พบการใช้คำว่า Bassoon เป็นครั้งแรก ในโน้ตเพลงสำหรับ บทโอเปร่า เรื่อง
Dioclecian บทประพันธ์ของ Henry Purcell คีตกวีชาวอังกฤษ ในยุคบาโร้ค และนับแต่นั้นเป็นต้นมา
บาสซูน ก็ได้รับความนิยมในฐานะเครื่องดนตรีที่ให้เสียงต่ำที่สุดในกลุ่มเครื่องลมด้วยกัน
โดยให้เป็นตัวเดินแนวเบส และในสมัยบาโร้ค มักนิยมจัดให้บาสซูน 1 เครื่อง เล่นด้วยกันกับ
โอโบ 2 ตัว
ภาพ Baroque Bassoon
|